"พ่อค้าตลาดนัด"
ทุกก้าวย่าง...ของชีวิต มีเรื่องราวอยู่หลายเรื่อง ที่ผ่านเข้ามา มีทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย...เรื่องที่มีสาระและไม่มีสาระ คละเคล้ากันไป...จะเก็บไว้คนเดียว ก็ไม่มีประโยชน์...จึงเอามาถ่ายทอดเล่าสู่กันฟัง...เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ตามแบบฉบับของ"พ่อค้าตลาดนัด"เร่ไป...ก็เร่มา
วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
"ใครใคร่ค้า...ค้า ใครใคร่ขาย...ขาย" จริงหรือ?
"ใครใคร่ค้า...ค้า ใครใคร่ขาย...ขาย..." เป็นคำที่จารึกไว้ในหลักศิลาจารึกสมัย พ่อขุนรามคำแหงครับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นประชาธิปไตยในสมัยก่อน...ว่าใครจะค้าจะขายอะไร? ก็ได้ทั้งนั้นไม่ว่ากัน(ถ้าสิ่งนั้นไม่ผิดจารีต ไม่ผิดกฎ ประเพณี)เป็นระบบการค้าแบบเสรีครับ... ในปัจจุบันคำ...คำนี้ก็ยังใช้ได้อยู่ครับ...
ผมเป็น"พ่อค้าตลาดนัด"ขายของมา 6-7 ปีเห็นจะได้ แรกๆก่อนที่จะขายของ ผมก็เดินสำรวจตลาดก่อนครับว่าเราจะเอาอะไรมาขาย...เขามีขายกันหรือยัง ถ้าเห็นว่ามีแล้วเราก็จะได้ไม่เอามาขายซ้ำกัน...(ซึ่งจริงๆแล้วจะเอาอะไรมาขายก็ได้ครับ...) และยังเดินดูแนวการจัดร้านว่าเขาจัดร้านกันยังไง?...ขายกันราคาประมาณเท่าไหร่?...คือที่สำรวจอย่างนี้ก่อนเพราะป้องกัน การเอาสินค้ามาขายตัดราคากัน หรือเอาสินค้าที่มีซ้ำกันมาขาย...เป็นการให้เกียรติพ่อค้าแม่ค้าเก่าครับ ที่นี้ก็อยู่ที่สินค้า การจัดร้าน การบริการของแต่ละร้านหล่ะครับ...ทำอย่างไรจะมีลูกค้าเข้าซื้อของ พ่อค้าแม่ค้า รักใคร่กันดีช่วยเหลือซึ่งกันและกันครับ มีอะไรก็แบ่งปัน เพราะทุกคนทุกร้านต่างก็มีรายได้ การค้าการขายเจริญก้าวหน้ากันทุกคน...
แต่ทุกวันนี้มันไม่ใช่แบบเดิมแล้วครับ...พ่อค้าแม่ค้ารุ่นใหม่ๆ ที่เข้ามาค้าขาย เดินดูเหมือนกันครับ(ส่วนมากจะให้เด็กเดินสืบดู) ว่าร้านไหนขายดี...ราคาเท่าไหร่?ถ้าเห็นว่าร้านนี้ขายดี ราคาก็รู้แล้ว... อย่ากะนั้นเลยไปเอาสินค้าที่เหมือนกันมาขายดีกว่า ตัดราคาซะอีกด้วยเช่น คนเดิมขาย 199 บาท พ่อค้าใหม่ขาย 159 บาทซะเลย ขาดทุนไม่เป็นไร เอามันเข้าว่า...และแต่ก่อนคนจัดตลาดจะถามครับว่าขายอะไร จะได้จัดให้อยู่ห่างกันถ้าสินค้าเหมือนกัน แต่ทุกวันนี้ชะโงกหน้าไปร้านข้างๆ ก็เห็นขายเหมือนกันแล้วครับ ติดราคาไว้อย่างโจ่งแจ้งตัดราคากันเห็นๆ ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม...ลูกค้าก็อย่างว่าแหล่ะครับก็อยากจะได้ของถูกก็แห่เข้าไปซื้อร้านข้างๆ ไอ้ร้านที่ขายแพงกว่านั่งหน้าแห้งมองตาปริบๆ พอว่างๆมันก็นั้งนับเงินโชว์ พูดคุยเสียงดังว่าขายยอดได้เท่านั้น เท่านี้...เพื่อให้ร้านข้างๆอิจฉาเล่นซะงั้น...
ผมว่าถ้าเกิดสภาพอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตามคำว่า "ใครใคร่ค้า...ค้า ใครใคร่ขาย...ขาย" โดยไม่มีกฎกติกาอะไรเข้ามารองรับ ไม่นานก็พากันเน่าทั้งตลาดครับ ไปไม่รอดหรอก ใครอยากขายตัดราคาอย่างไร เท่าไหร่ เอาให้พอใจ ใครจะขายซ้ำกันทั้งตลาด ขายได้ก็ขายไป อย่างนี้มีแต่พากันเจ๊งครับลูกค้าก็หนี เพราะของที่ถูกที่เอามาตัดราคา...ถ้ามองผิวเผินอาจเหมือนกันหรือคล้ายกัน แต่คุณภาพไม่เหมือนกันครับ...ตอนนี้ผมสังเกตุ เห็นพ่อค้าแม่ค้าเริ่มจะหายไปจากตลาดทีละราย สองราย เพราะเลิกกิจการไปสู้ไม่ไหว...ต่อสภาพปัจจุบัน
ตลาดจะไปได้...ผมว่าพ่อค้า แม่ค้า(รุ่นใหม๋)ควรจะหาไอเดียดีๆ ไอเดียแปลกๆ ที่ยังไม่มีในตลาดมานำเสนอกับลูกค้าจะดีกว่าครับ ดีกว่าลอกเรียนแบบร้านอื่น ไม่คิดอะไรในแนวทางของตัวเอง มิหนำซ้ำยังเอาสินค้ามาขายตัดราคาซะอีกอย่างนี้ ไปไม่รอดทั้งตลาดแหละครับ...สวัสดี
วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
หน้าฝนทีไร...ฝนตกทุกที!!
วันนี้ผมออกไปขายของที่ตลาดนัด...มองขึ้นไปบนทองฟ้าแล้วรู้สึกไม่ค่อยดีเลย... ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆฝน ซึ่งถ้าเกิดฝนตกลงมาในช่วงที่เราขายอยู่ก็จะเป็นปัญหาในการค้าขาย..."พ่อค้าตลาดนัด" อย่างผม ...จะต้องหัดเป็นนักพยากรณ์อากาศด้วยครับ...ในเบอร์โทร จะต้องบันทึกเบอร์ของกรมอุตุไว้ด้วย...และจำเป็นที่จะต้องหัดมองลมฟ้าอากาศออก ยิ่งช่วงตอนกลางคืนหน้าฝนแบบนี้ ต้องหัดมองท้องฟ้า เพื่อจะดูเมฆฝนครับ...บางครั้งเราโทรไปถาม กรมอุตุ ก็ไม่ค่อยจะตรงกันกับที่สายตาเราเห็นครับ...มองขึ้นดูบนท้องฟ้าตอนกลางคืนเห็นเมฆฝนแดงไปหมดแต่พอโทรถาม กรมอุตุ กับบอกว่าไม่มีฝน...สักพักตกครับ
หน้าฝนปีนี้ดูแปลกๆ กว่าทุกปีครับ เมื่อก่อนฝนมาเรายังดูออก เพราะจะมีฟ้าร้อง ฟ้าคะนองมาก่อน หรือไม่ก็จะเห็นสายฟ้าแลบ...ทำให้ พ่อค้าแม่ค้าตั้งตัวและเก็บของทัน แต่ปีนี้กำลังขายๆอยู่อยากจะตกก็ตก... และจะมีลมกรรโชกแรงมากครับ ร้านขายของปลิวว่อนกระจัดกระจาย บางครั้งอยู่ๆ ฝนก็เทลงมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว สินค้าเปียกปอนกันเป็นแถวถ้าเอาผ้าใบคลุมกันไม่ทัน...แต่ทำอย่างไรได้ครับ เพราะมันเป็นอาชีพที่เราเลือกและก็ชอบซะด้วย...ทุกอาชีพมันก็มีอุปสรรคทั้งนั้นแหละครับ...
ฤดูฝนของทุกปี...พ่อค้าแม่ค้าตลาดนัดต้องทำใจครับ เพราะเอาแน่นอนกับลมฟ้าอากาศไม่ได้ ...แล้วรายได้ของเราก็มาจากการออกไปขายของทางเดียวซะด้วยคือถ้าหยุดก็ไม่มีรายได้ ถ้าฝนตกทุกวันก็จบกัน รายได้หายแน่นอนครับ ถึงฝนจะลงเม็ดปรอยๆตั้งร้านได้แต่จะเอาลูกค้าที่ไหนมาเดินซื้อของหล่ะครับ....ก็ต้องเก็บร้านกลับบ้านอยู่ดี เศรฐกิจไม่ดี กำลังซื้อถดถอย ยิ่งมาเจอลม เจอฝนอีก เก็บของกลับบ้านนั่งเขียนบล็อก...ดีกว่าเรา
หน้าฝนปีนี้ดูแปลกๆ กว่าทุกปีครับ เมื่อก่อนฝนมาเรายังดูออก เพราะจะมีฟ้าร้อง ฟ้าคะนองมาก่อน หรือไม่ก็จะเห็นสายฟ้าแลบ...ทำให้ พ่อค้าแม่ค้าตั้งตัวและเก็บของทัน แต่ปีนี้กำลังขายๆอยู่อยากจะตกก็ตก... และจะมีลมกรรโชกแรงมากครับ ร้านขายของปลิวว่อนกระจัดกระจาย บางครั้งอยู่ๆ ฝนก็เทลงมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว สินค้าเปียกปอนกันเป็นแถวถ้าเอาผ้าใบคลุมกันไม่ทัน...แต่ทำอย่างไรได้ครับ เพราะมันเป็นอาชีพที่เราเลือกและก็ชอบซะด้วย...ทุกอาชีพมันก็มีอุปสรรคทั้งนั้นแหละครับ...
วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ขอทาน...เขมรที่พัทยา
ผมไปขายของที่ตลาดนัด คลองถมพัทยา2(ข้างเมืองจำลอง)...จะเห็นผู้หญิงชาวเขมรอุ้มลูก จูงหลาน มานั่งขอทานตามจุดต่างๆ ทั่วทั้งตลาด...คนไทยส่วนใหญ่ ที่เดินซื้อของ เห็นก็เมตตาสงสาร... เห็นคนยากคนจนก็ทำบุญทำทานแบ่งปันแก่ผู้ยากไร้...ผู้เฒ่าผู้แก่ ลูกเด็กเล็กแดง...
มารู้ทีหลัง คนให้...คนใจบุญคือคนไทยมีรายได้เฉลี่ยแค่ 200 บาทต่อวัน ขอทานเขมรไม่ต้องทำอะไร แค่เมื่อยแขนพนมมือถือกระป๋องใบเดียวมานั่งขอทาน มีรายได้ดี 500-1500 บาทต่อวัน นั่งนับเงินต่อหน้าพ่อค้าแม่ค้าที่บางครั้งยังไม่ได้เปิดบิลเลยสักบาท...ค่าที่ก็ไม่ต้องเสีย แถมโครงเหล็กก็ไม่ต้องกาง ของก็ไม่ต้องยก ซื้อของกินแพงกว่าเราซะอีก...แถมภาษีก็ไม่ต้องเสีย...เฮ้อ...คิดแล้วมันน่าน้อยใจ ทีพ่อค้าแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว ขายข้าวมันไก่มาจ่องนับชามว่าขายได้เท่าไหร่จะได้เก็บภาษีถูก
เคยอ่านข่าวว่าเขมรมาเป็นแก๊งค์ขอทานในไทยเยอะมากตามหัวเมืองใหญ่ทั้งกรุงเทพ ฯและพัทยา ตอมอเคยจับปรับนิดหน่อยแล้วก็ปล่อยไป ทำให้เขมรพูดปากต่อปากว่าอยู่เมืองไทยเป็นขอทานรายได้ดี เลยทำให้เขมรข้ามชาติโกอินเตอร์อย่างมากมายก่ายกองในปัจจุบัน...
แต่ผมว่ามันก็อยู่ที่คนไทยเราเองนั้นแหละ ยิ่งเราทำทานให้เขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมา ยิ่งอยู่ ยิ่งขี้เกียจ ไม่ดิ้นรน ขอทานก็ยิ่งมากขึ้น จนชาวเขมรเห็นเป็นช่องทางทำมาหากินอย่างถาวร และยังรวมกันเป็นกลุ่ม แย่งที่ทำมาหากินของขอทานไทย ซึ่งยากจนยากไร้จริงๆ รึเราจะไม่เห็น ขอทานแบบ "ยายสำอาง" กันอีกแล้ว...
มารู้ทีหลัง คนให้...คนใจบุญคือคนไทยมีรายได้เฉลี่ยแค่ 200 บาทต่อวัน ขอทานเขมรไม่ต้องทำอะไร แค่เมื่อยแขนพนมมือถือกระป๋องใบเดียวมานั่งขอทาน มีรายได้ดี 500-1500 บาทต่อวัน นั่งนับเงินต่อหน้าพ่อค้าแม่ค้าที่บางครั้งยังไม่ได้เปิดบิลเลยสักบาท...ค่าที่ก็ไม่ต้องเสีย แถมโครงเหล็กก็ไม่ต้องกาง ของก็ไม่ต้องยก ซื้อของกินแพงกว่าเราซะอีก...แถมภาษีก็ไม่ต้องเสีย...เฮ้อ...คิดแล้วมันน่าน้อยใจ ทีพ่อค้าแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว ขายข้าวมันไก่มาจ่องนับชามว่าขายได้เท่าไหร่จะได้เก็บภาษีถูก
เคยอ่านข่าวว่าเขมรมาเป็นแก๊งค์ขอทานในไทยเยอะมากตามหัวเมืองใหญ่ทั้งกรุงเทพ ฯและพัทยา ตอมอเคยจับปรับนิดหน่อยแล้วก็ปล่อยไป ทำให้เขมรพูดปากต่อปากว่าอยู่เมืองไทยเป็นขอทานรายได้ดี เลยทำให้เขมรข้ามชาติโกอินเตอร์อย่างมากมายก่ายกองในปัจจุบัน...
แต่ผมว่ามันก็อยู่ที่คนไทยเราเองนั้นแหละ ยิ่งเราทำทานให้เขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมา ยิ่งอยู่ ยิ่งขี้เกียจ ไม่ดิ้นรน ขอทานก็ยิ่งมากขึ้น จนชาวเขมรเห็นเป็นช่องทางทำมาหากินอย่างถาวร และยังรวมกันเป็นกลุ่ม แย่งที่ทำมาหากินของขอทานไทย ซึ่งยากจนยากไร้จริงๆ รึเราจะไม่เห็น ขอทานแบบ "ยายสำอาง" กันอีกแล้ว...
ความแตกต่าง...ของชีวิตในวัยเด็ก
แวบแรกที่ได้เห็นภาพนี้ สิ่งที่ผมนึกถึงก็คือชีวิตในวัยเด็กของตนเอง แล้วมานึกเปรียบเทียบกับชีวิตของเด็กในสมัยนี้ มันช่างมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ผมจำได้ว่าสมัยเมื่อราวสัก 30 ปีก่อนนี้ เราอิ่มด้วยก๋วยเตี๋ยว ชามละไม่เกิน 5 บาทเป็นก๋วยเตี๋ยวที่ขายในโรงเรียนนะครับ ไม่ใช่ ก๋วยเตี๋ยวที่เราเห็นตามห้าง ตามรถเข็นข้างถนนทุกวันนี้ การเรียนการสอนก็เรียบง่ายได้ผลกันด้วยไม้เรียวเป็นหลัก เวลาอยู่ที่โรงเรียนเด็กมีเรื่องต้องทำอยู่แค่สองอย่างคือ เรียนกับเล่น หลังจากโรงเรียนเลิกก็เหลือเพียงแค่ "เล่น" อย่างเดียว ที่ว่าเล่นก็คือ การวิ่งเล่นออกแรงเป็นหลักไม่ว่าจะเป็นเล่นตี่จับ กระต่ายขาเดียว ซ่อนหา ฟุตบอล(พลาสติก) หรือแม้กระทั้งว่ายน้ำใน ห้วย หนอง คลอง บึง ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นจากวิถีชีวิตในวัยเด็กตามรูปแบบที่ว่ามา ในทางร่างกายก็คือ การมีสุขภาพดี ร่างกายสมส่วน โครงสร้างต่างๆของร่างกายได้รับการพัฒนาอย่างดียิ่ง ส่วนในทางจิตใจนั้นการวิ่งเล่นออกแรงมากก็ต้องมีโอกาสหัวหกก้นขวิด(และก้นลาย) ถือเป็นเรื่องธรรมดา มีการทะเลาะกัน แกล้งกัน โกรธ หัวเราะ ร้องให้ สารพัน จิตใจที่ได้มีโอกาส ดีใจหรือเสียใจ จากเหตุเพียงเล็กน้อยหรือใหญ่โต จนเคยชินและถือเป็นเรื่องปกติทำให้เรามีจิตใจที่เข้มแข็งไม่เปราะบางอ่อนแอ เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทำให้สามารถรู้เท่าทันถึงสาเหตุของความดีใจหรือเสียใจที่เกิดขึ้นในชีวิต การอันใดที่พลาดพลั้งก็เรียนรู้และแก้ไขกันไป ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรู้เท่าทันตนเอง...
ซึ่งผมว่าต่างกับเด็กทุกวันนี้...ด้วยความรักและห่วงใยจากผู้ใหญ่บางราย ความที่ต้องทันสังคมทันสมัยนิยม ต้องมีการเรียนคอมพิวเตอร์ ต้องทำรายงานด้วยคอมพิวเตอร์ ต้องมีการติวเข้มเพื่อชีวิตจะได้มีโอกาสล้ำยุคนำสมัยและเป็นผู้คนชั้นแนวหน้าของสังคม นอกจากค่าเล่าเรียนจะแพงมากแล้ว ไหงลายมือเขียนภาษาไทยของเด็กสมัยใหม่นี้ถึงส่อแววว่ามีแนวโน้มจะเข้ามุมอับ คือเขียนเองอ่านเองคนอื่นอ่านไม่ออก หรือบางรายเขียนเองอ่านเองแต่ยังต้องมานั่งแกะคำ นี่แหละหนาที่เร่งรีบกันจนเกินเหตุ เด็กชั้นประถมบางโรงเรียนทุกวันนี้เขาคีย์ภาษาไทยทำรายงานด้วยคอมพิวเตอร์ นี่ถ้ากระแสยังคงเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผมว่าคงจะต้องมีสักวันหนึ่งที่ คนไทยส่วนใหญ่เขียนภาษาไทยด้วยมือไม่คล่องหรืออาจถึงกับเขียนไม่ได้ แล้วอารยธรรมด้านภาษาของไทยอันเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของชาติคงจะต้องกลายเป็นตำนานไป...สำหรับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ที่คนไทยทุกวันนี้หลงนำมาเป็นเครื่องกำหนดความศิวิไลช์ อย่างไม่แยกแยะเอามาใช้กับเด็กๆนอกจากจะทำลายทักษะการเขียน อันเป็นเครื่องมือสำคัญของการเรียนรู้และการสื่อสารความหมายแล้ว ยังทำให้สายตาของเด็กๆย่ำแย่อีกด้วย ที่น่าสงสารที่สุดก็คือ เด็กๆมักไม่ค่อยมีโอกาสเลือกเพราะต้องเดินตามความคิดของพ่อแม่เป็นหลัก พ่อแม่บางคนเลี้ยงลูกจนเลอเลิศในทางสมอง แต่ว่าในเรื่องของจิตใจกับล้มเหลว เด็กมักหมกมุ่นมีแต่ความว้าวุ่นใจ ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง สุขภาพอนามัยขั้นพื้นฐานก็ไม่ดี สายตาไม่ปกติ ร่างกายไม่แข็งแรง...เป็นภูมิแพ้ เป็นอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด
เรามาทำให้เด็กวันนี้มีชีวิตที่สดใสอย่างที่เด็กควรจะเป็นกันดีกว่า แล้วในที่สุดเราก็จะได้เห็นเองว่ามีอะไรต่อมิอะไรดีๆ เกิดขึ้นแก่เด็กและสังคมของเราในอนาคตอีกมากมาย...
ซึ่งผมว่าต่างกับเด็กทุกวันนี้...ด้วยความรักและห่วงใยจากผู้ใหญ่บางราย ความที่ต้องทันสังคมทันสมัยนิยม ต้องมีการเรียนคอมพิวเตอร์ ต้องทำรายงานด้วยคอมพิวเตอร์ ต้องมีการติวเข้มเพื่อชีวิตจะได้มีโอกาสล้ำยุคนำสมัยและเป็นผู้คนชั้นแนวหน้าของสังคม นอกจากค่าเล่าเรียนจะแพงมากแล้ว ไหงลายมือเขียนภาษาไทยของเด็กสมัยใหม่นี้ถึงส่อแววว่ามีแนวโน้มจะเข้ามุมอับ คือเขียนเองอ่านเองคนอื่นอ่านไม่ออก หรือบางรายเขียนเองอ่านเองแต่ยังต้องมานั่งแกะคำ นี่แหละหนาที่เร่งรีบกันจนเกินเหตุ เด็กชั้นประถมบางโรงเรียนทุกวันนี้เขาคีย์ภาษาไทยทำรายงานด้วยคอมพิวเตอร์ นี่ถ้ากระแสยังคงเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผมว่าคงจะต้องมีสักวันหนึ่งที่ คนไทยส่วนใหญ่เขียนภาษาไทยด้วยมือไม่คล่องหรืออาจถึงกับเขียนไม่ได้ แล้วอารยธรรมด้านภาษาของไทยอันเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของชาติคงจะต้องกลายเป็นตำนานไป...สำหรับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ที่คนไทยทุกวันนี้หลงนำมาเป็นเครื่องกำหนดความศิวิไลช์ อย่างไม่แยกแยะเอามาใช้กับเด็กๆนอกจากจะทำลายทักษะการเขียน อันเป็นเครื่องมือสำคัญของการเรียนรู้และการสื่อสารความหมายแล้ว ยังทำให้สายตาของเด็กๆย่ำแย่อีกด้วย ที่น่าสงสารที่สุดก็คือ เด็กๆมักไม่ค่อยมีโอกาสเลือกเพราะต้องเดินตามความคิดของพ่อแม่เป็นหลัก พ่อแม่บางคนเลี้ยงลูกจนเลอเลิศในทางสมอง แต่ว่าในเรื่องของจิตใจกับล้มเหลว เด็กมักหมกมุ่นมีแต่ความว้าวุ่นใจ ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง สุขภาพอนามัยขั้นพื้นฐานก็ไม่ดี สายตาไม่ปกติ ร่างกายไม่แข็งแรง...เป็นภูมิแพ้ เป็นอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด
เรามาทำให้เด็กวันนี้มีชีวิตที่สดใสอย่างที่เด็กควรจะเป็นกันดีกว่า แล้วในที่สุดเราก็จะได้เห็นเองว่ามีอะไรต่อมิอะไรดีๆ เกิดขึ้นแก่เด็กและสังคมของเราในอนาคตอีกมากมาย...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)