วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ความแตกต่าง...ของชีวิตในวัยเด็ก

           แวบแรกที่ได้เห็นภาพนี้ สิ่งที่ผมนึกถึงก็คือชีวิตในวัยเด็กของตนเอง แล้วมานึกเปรียบเทียบกับชีวิตของเด็กในสมัยนี้ มันช่างมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ผมจำได้ว่าสมัยเมื่อราวสัก 30  ปีก่อนนี้ เราอิ่มด้วยก๋วยเตี๋ยว ชามละไม่เกิน 5 บาทเป็นก๋วยเตี๋ยวที่ขายในโรงเรียนนะครับ ไม่ใช่ ก๋วยเตี๋ยวที่เราเห็นตามห้าง ตามรถเข็นข้างถนนทุกวันนี้ การเรียนการสอนก็เรียบง่ายได้ผลกันด้วยไม้เรียวเป็นหลัก เวลาอยู่ที่โรงเรียนเด็กมีเรื่องต้องทำอยู่แค่สองอย่างคือ เรียนกับเล่น หลังจากโรงเรียนเลิกก็เหลือเพียงแค่ "เล่น" อย่างเดียว ที่ว่าเล่นก็คือ การวิ่งเล่นออกแรงเป็นหลักไม่ว่าจะเป็นเล่นตี่จับ กระต่ายขาเดียว ซ่อนหา ฟุตบอล(พลาสติก) หรือแม้กระทั้งว่ายน้ำใน ห้วย หนอง คลอง บึง ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นจากวิถีชีวิตในวัยเด็กตามรูปแบบที่ว่ามา ในทางร่างกายก็คือ การมีสุขภาพดี ร่างกายสมส่วน โครงสร้างต่างๆของร่างกายได้รับการพัฒนาอย่างดียิ่ง ส่วนในทางจิตใจนั้นการวิ่งเล่นออกแรงมากก็ต้องมีโอกาสหัวหกก้นขวิด(และก้นลาย) ถือเป็นเรื่องธรรมดา มีการทะเลาะกัน แกล้งกัน โกรธ หัวเราะ ร้องให้ สารพัน จิตใจที่ได้มีโอกาส ดีใจหรือเสียใจ จากเหตุเพียงเล็กน้อยหรือใหญ่โต จนเคยชินและถือเป็นเรื่องปกติทำให้เรามีจิตใจที่เข้มแข็งไม่เปราะบางอ่อนแอ เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทำให้สามารถรู้เท่าทันถึงสาเหตุของความดีใจหรือเสียใจที่เกิดขึ้นในชีวิต การอันใดที่พลาดพลั้งก็เรียนรู้และแก้ไขกันไป ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรู้เท่าทันตนเอง...
          ซึ่งผมว่าต่างกับเด็กทุกวันนี้...ด้วยความรักและห่วงใยจากผู้ใหญ่บางราย ความที่ต้องทันสังคมทันสมัยนิยม ต้องมีการเรียนคอมพิวเตอร์ ต้องทำรายงานด้วยคอมพิวเตอร์ ต้องมีการติวเข้มเพื่อชีวิตจะได้มีโอกาสล้ำยุคนำสมัยและเป็นผู้คนชั้นแนวหน้าของสังคม นอกจากค่าเล่าเรียนจะแพงมากแล้ว ไหงลายมือเขียนภาษาไทยของเด็กสมัยใหม่นี้ถึงส่อแววว่ามีแนวโน้มจะเข้ามุมอับ คือเขียนเองอ่านเองคนอื่นอ่านไม่ออก หรือบางรายเขียนเองอ่านเองแต่ยังต้องมานั่งแกะคำ นี่แหละหนาที่เร่งรีบกันจนเกินเหตุ เด็กชั้นประถมบางโรงเรียนทุกวันนี้เขาคีย์ภาษาไทยทำรายงานด้วยคอมพิวเตอร์ นี่ถ้ากระแสยังคงเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผมว่าคงจะต้องมีสักวันหนึ่งที่ คนไทยส่วนใหญ่เขียนภาษาไทยด้วยมือไม่คล่องหรืออาจถึงกับเขียนไม่ได้  แล้วอารยธรรมด้านภาษาของไทยอันเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของชาติคงจะต้องกลายเป็นตำนานไป...สำหรับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ที่คนไทยทุกวันนี้หลงนำมาเป็นเครื่องกำหนดความศิวิไลช์ อย่างไม่แยกแยะเอามาใช้กับเด็กๆนอกจากจะทำลายทักษะการเขียน อันเป็นเครื่องมือสำคัญของการเรียนรู้และการสื่อสารความหมายแล้ว ยังทำให้สายตาของเด็กๆย่ำแย่อีกด้วย ที่น่าสงสารที่สุดก็คือ เด็กๆมักไม่ค่อยมีโอกาสเลือกเพราะต้องเดินตามความคิดของพ่อแม่เป็นหลัก พ่อแม่บางคนเลี้ยงลูกจนเลอเลิศในทางสมอง แต่ว่าในเรื่องของจิตใจกับล้มเหลว เด็กมักหมกมุ่นมีแต่ความว้าวุ่นใจ ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง สุขภาพอนามัยขั้นพื้นฐานก็ไม่ดี สายตาไม่ปกติ ร่างกายไม่แข็งแรง...เป็นภูมิแพ้ เป็นอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด
         เรามาทำให้เด็กวันนี้มีชีวิตที่สดใสอย่างที่เด็กควรจะเป็นกันดีกว่า แล้วในที่สุดเราก็จะได้เห็นเองว่ามีอะไรต่อมิอะไรดีๆ เกิดขึ้นแก่เด็กและสังคมของเราในอนาคตอีกมากมาย...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น